ตลาดหุ้นไทยนิวไฮรอบ 18 ปีทะลุ 1,506 จุด มาร์เก็ตแคปพุ่ง 12.8 ล้านล้าน
โดยตลาดหุ้นไทยทะยานทะลุ 1,506 จุด นิวไฮรอบกว่า 18 ปี 2 เดือน มาร์เก็ตแคปพุ่ง 12.8 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แค่เดือนเดียวหุ้นไทยปรับขึ้น 114.44 จุด สร้างความมั่งคั่งให้นักลงทุนเพิ่มขึ้นทันที 1 ล้านล้านจากมูลค่ามาร์-เก็ตแคปสูงขึ้น ขณะที่ CLSA แย้มนอกจากเฮดจ์ฟันด์แล้วเห็นแรงซื้อจากกองทุนใหญ่จากสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ก.พ.56 ว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและร้อนแรงตลอดทั้งวัน โดยระหว่างวันดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 1,511.95 จุด ก่อนมาปิดทำการที่ระดับ 1,506.37 จุด เพิ่มขึ้น 7.15 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปี 2 เดือน นับจากวันที่ 4 พ.ย.37 ซึ่งตอนนั้นดัชนีหุ้นอยู่ที่ 1,522.94 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขาย 54,076.90 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 868.93 ล้านบาท
โดยดัชนีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจนทุบสถิตินี้ ได้ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหุ้นไทย ซึ่งสะท้อนถึงความมั่งคั่งของนักลงทุนมีมูลค่ารวมถึง 12.8 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์และเฉพาะเพียงแค่เดือนเดียว เมื่อเทียบกับปิดตลาดสิ้นปี 55 พบว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 114.44 จุด จาก 1,391.93 จุด มาอยู่ที่ 1,506.37 จุดในปัจจุบัน ขณะที่มูลค่ามาร์เก็ตแคปปรับเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 55 อยู่ที่ 11.8 ล้านบาท ล่าสุดขึ้นมาอยู่ที่ 12.8 ล้านบาท นั่นหมายถึงความมั่งคั่งของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (CLSA) ประเทศไทย กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงทำลายสถิตินี้ นอกจากจะมีกองทุนเก็งกำไรหรือเฮจด์ฟันด์เข้ามาซื้อขายมากขึ้นแล้ว ยังพบว่ารอบนี้มีเงินจากกองทุนสถาบันรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาซื้อหุ้นไทยจำนวนมากด้วย ซึ่งกองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่มักถือเพื่อการลงทุนระยะยาว มากกว่าเก็งกำไรระยะสั้น โดยเห็นการเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) และหุ้นบริษัทซีพีออลล์ (CPALL)
นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นการเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นมาได้น้อยกว่าตลาดโดยรวมมาก รวมทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ราคายังถูกกว่าตลาดโดยรวม โดยตลาดหุ้นไทยรอบนี้ดัชนีจะขึ้นไปได้ถึงระดับ 1,600-1,700 จุดได้ จะต้องได้หุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เป็นตัวผลักดันดัชนี และการที่ดัชนีหุ้นไทยปัจจุบันขึ้นมาเหนือระดับ 1,500 จุดนี้ ทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13 เท่าปลายๆ หรือประมาณ 14 เท่า ซึ่งไม่ถือว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับ P/E เฉลี่ยของตลาดในอาเซียนที่ไปได้สูงสุดถึง 15 เท่า ส่วนหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจรอบนี้ตนมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มแบงก์ อสังหาริมทรัพย์และเริ่มมองๆหุ้นพลังงานด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นในช่วงสั้นนั้นมองว่าเงินทุนยังไหลเข้ามาในเอเชีย และเริ่มเห็นกระแสเงินทุนโยกเงินออกจากตลาดพันธบัตร (Bond) ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะราคาพันธบัตรเริ่มไม่ถูกแล้วและมีความเสี่ยงจะเกิดฟองสบู่ในตลาดพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging market bond bubble ซึ่งอาจมีช่วงเวลาที่ทำให้เกิดการตื่นตระหนกหรือชะงักงันจนกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นด้วย
ด้านนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทรีนีตี้มองเป้าดัชนีหุ้นไทยทั้งปีจะไปได้ถึง 1,650 จุด ซึ่ง P/E จะอยู่ที่ประมาณ 15.5 เท่า จากการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะโต 21% สภาพคล่องยังคงไหลเข้า ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ แต่ตลาดหุ้นระยะสั้นมีความเสี่ยงจากแรงขายของเงินทุนที่เกิดจาก “เยน แคร์รี่เทรด” ที่กำลังอาละวาดไปทั่วโลก ซึ่งเป็นการกู้เงินเยนที่มีดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินเยนมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพื่อออกไปลงทุนหากำไรในตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมทั้งเอเชียและไทยจำนวนมาก.
ข่าวจาก : ไทยรัฐออนไลน์
แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหนุนทองคําโลกพุ่งแรง ทองไทยขึ้นพรวด
วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนหนุนแรงซื้อทองคำ ทองไทยบาทแข็งกดดัน
วิกฤตสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนหนุนแรงซื้อทองคําโลกพุ่งแรง
จันทร์เช้าทองคําตลาดโลกดีดตัวขึ้นแรง ส่งผลทองไทยพุ่งแรงตาม
ดอลลาร์แข็งค่ารับคาดการณ์เฟดอาจชะลอลดดอกเบี้ยกดดันทองคําโลก
ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง ขานรับทรัมป์ชนะเลือกตั้งกดดันทองคํา
ดอลลาร์แข็งค่า-พันธบัตรสหรัฐพุ่ง ฉุดทองคำโลกทองไทยร่วงลงหนัก
ราคาทองตามประกาศสมาคมค้าทองคำ
96.5% | รับซื้อ | ขายออก |
---|---|---|
ทองคำแท่ง | 43,600.00 | 43,700.00 |
ทองรูปพรรณ | 42,811.84 | 44,200.00 |
วันนี้ 600 | 50 | |
21 พฤศจิกายน 2567 | เวลา 15:38 น. | (ครั้งที่ 7) |
เรื่องที่เกี่ยวข้อง: ข่าวหุ้น, ข่าวเศรษฐกิจ