ราคาทองคําวันนี้

ราคาทองวันนี้ล่าสุดจากสมาคมค้าทองคํา ทองแท่ง ทองรูปพรรณ ราคาทองย้อนหลัง กราฟราคาทอง ข่าวแนวโน้มราคาทอง

4 เซียน(จิตติ, ธนรัชต์, บุญเลิศ,กฤชรัตน์) ส่องราคาทองคำ สิ้นยุคขาขึ้น-รับมือตลาดผันผวน

โดย ราคาทองคำวันนี้

ขออนุญาตินำบทความ บทวิเคราะห์ดีๆ ของ 4 เซียนกูรูทางด้านทองคำอันดันต้นๆ ของเมืองไทยมาให้อ่านกัน เป็นบทความจากไทยรัฐออนไลน์ที่ 4 สุดยอดกูรูอันดับต้นๆ ของเมืองไทยได้ให้ข้อคิดและฟันธงฉับๆ กับภาวะการผันผวนของราคาทองคำในขณะนี้ และต่อไปในอนาคต และผมคิดว่าเป็นข้อมูลที่ดีทีเดียวที่เราๆ ท่านๆ น่าจะนำไปวิเคราะห์และตัดสินใจสำหรับการลงทุนในทองคำ…แต่ย้ำนะครับ ต้องทำอย่างไม่ประมาท วิเคราะห์ให้รอบด้าน เหมือนที่เขาบอกกันว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาส นั่นเอง…

4 เซียน(จิตติ, ธนรัชต์, บุญเลิศ,กฤชรัตน์) ส่องราคาทองคำ สิ้นยุคขาขึ้น-รับมือตลาดผันผวนความปั่นป่วนของราคาทองคำโลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งใช้เวลาเพียง 2 วัน กดราคาให้ร่วงลง จนทำนิวโลว์เท่ากับราคาทองคำเมื่อ 2 ปีก่อน สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่นักลงทุนทองคำทั่วโลก

ทั้งผู้ที่ลงทุนในทองคำแท่ง กองทุนรวมอีทีเอฟทองคำ (ETF- Exchange Traded Fund) รวมทั้งตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์ส) หรือ ทองคำที่ซื้อกันบนกระดาษ

โดยน่าจะเป็นครั้งแรกที่ราคาทองคำปรับลงรุนแรงนับจากที่เดินหน้าสู่การเป็นวัฏจักร “ขาขึ้น” ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาที่ราคาทองคำได้ปรับขึ้นต่อเนื่องถึง 495.12% จากระดับราคา 310 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือบาทละ 6,355 บาท (ค่าเงินบาทขณะนั้น 39 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) จนเคยขึ้นมาสูงสุดถึง 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

ท่ามกลางความพยายามเขย่าขวัญของบรรดานักวิชาการ นักวิเคราะห์กองทุนเก็งกำไรข้ามชาติ รวมทั้งพ่อมดการเงินอย่าง “จอร์จ โซรอส” ที่บอกว่าทองคำได้สูญเสียสถานะการเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังลดการถือครองทองลง เพราะราคาทองได้ปรับขึ้นไปสูงสุดจนหมดหนทางที่จะไปต่อได้!!

เป็นการออกมาเขย่าขวัญซ้ำเติมท่ามกลางความตื่นกลัวว่า ธนาคารกลางชาติยุโรปที่มีปัญหาวิกฤติหนี้ อย่าง อิตาลี สเปน และโปรตุเกสจะเทขายทองคำสำรองออกมาตามรอยไซปรัส ที่ได้ไฟเขียวจากธนาคารกลางยุโรปให้ขายทองคำแลกรับความช่วยเหลือทางการเงิน

ทำให้เกิด Panic sell เทขายทองในทั่วโลก กดราคาลงมาต่ำสุด 1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ในเวลาเพียง 2 วัน ลงมากว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 33 ปี!!

เปิดทางให้บรรดานักวิเคราะห์ทั่วโลกออกมาฟันธงว่า ราคาทองคำได้พลิกกลับเข้าสู่การเป็น “ขาลง” หรือ Bear market อย่างเต็มตัว

แต่แท้จริงแล้วจากนี้ไปราคาทองคำจะเป็นอย่างไร ยังมีโอกาสฝันเห็นราคาทองกลับไปยืนที่จุดสูงสุดเดิมได้หรือไม่ ที่สำคัญเราๆท่านๆทั้งประชาชนทั่วไป นักลงทุน และนักเก็งกำไรที่มีทองอยู่แล้ว หรือที่ต้องการซื้อทองจะต้องทำตัวอย่างไร

“ทีมเศรษฐกิจ” จึงได้เปิดมุมมอง 4 นักค้าทองรายใหญ่ของประเทศพร้อมคำแนะนำที่น่าสนใจ

ปีหน้า “ขาลง” ของจริง
“จิตติ ตั้งสิทธิภักดี” นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ตลาดทองปี 2556 ราคาทองคำน่าจะยังคงผันผวนต่อเนื่อง แต่ที่หลายคนมองว่า “ทองคำ” อยู่ในช่วงขาลง โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าช่วงนี้จะเป็น “ขาลง”

เพราะเห็นว่า “ขาลง” ของแท้ คือ ปีหน้า (2557) ส่วนวิกฤติครั้จิตติ ตั้งสิทธิภักดี  นายกสมาคมค้าทองคำงนี้เกิดจากการปั่นราคาของกองทุนต่างชาติอย่างโกลแมนแซคส์ และพ่อมดการเงิน “จอร์จ โซรอส” ที่ให้ข่าวทุบราคาทองให้ร่วงลง

“ทั้ง 2 รายนี้เป็นนักปั่นราคาตัวยง ซึ่งสมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็เป็นหัวโจกโจมตีค่าเงินทำให้เกิดวิกฤติทั่วโลก อยากให้นักลงทุนมองกันชัดๆ ว่า เรื่องธนาคารกลางไซปรัสที่จะกระหน่ำเทขายทองคำน้ำหนัก 10 ตันออกมา เพื่อล้างหนี้นั้น ถือเป็นปริมาณที่น้อยมาก ไม่น่าจะทำให้ราคาทองคำร่วงลงมามากขนาดนี้”

นายกสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ส่วนราคาทองคำในตลาดจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เห็นว่าถึงแม้ในช่วงวันที่ 18-19 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาจะเริ่มปรับขึ้นมา 600-700 บาทแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าคงผันผวนต่อ โดยอาจปรับลงได้อีกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นด้วย เพราะกระแสข่าวที่ออกมาเป็นแรงกระตุ้น ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่ รวมถึงรายย่อยเริ่มรู้แล้วว่าข่าวที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องไซปรัส และเรื่องอื่นๆ ไม่เป็นความจริง ไม่น่าสนใจแล้ว และที่ผ่านมาที่ตื่นตระหนกไปกับข่าว เพราะยังไม่ได้ศึกษาว่าอะไรเป็นอะไร มีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน

นายจิตติ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของนักลงทุน รวมถึงรายย่อย จึงอยากจะขอให้อย่าไปตื่นกับข่าวสารที่ออกมา ควรนิ่ง แล้วคิด และศึกษาข้อมูลก่อน อย่าผลีผลาม อยากให้ใจเย็น และหนักแน่นกับการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก เพราะหากใจร้อน จบทุกราย

ขณะเดียวกันก็อยากบอกว่า อย่าลงทุนเกินตัว เพราะมีโอกาสขาดทุนแน่นอน

หากจะให้แนะนำ ในฐานะนายกสมาคมค้าทองคำ ก็อยากบอกว่าคนที่ถือทองคำอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะซื้อในช่วงที่ทองคำทะลุบาทละ 20,000 กว่าบาท หรือซื้อในช่วงขาลง ขอให้รอจังหวะดีๆ

เพื่อขายทำกำไรในระยะสั้น และอย่าซื้อเพิ่ม เพราะหากเห็นทองลงเรื่อยๆ เฉลี่ยซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ก็จะยิ่งยาวและไม่จบง่ายๆ

“ส่วนนักลงทุนรายใหม่ ถ้ายังไม่มีทองคำถืออยู่ในมือ ก็อยากให้แบ่งเงินมาลงทุนบ้าง จะซื้อเป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณก็ได้ เพราะโดยส่วนตัวยังเชื่อว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ควรเก็บมากที่สุด แต่ถ้าถือไว้และยังขาดทุนอยู่ ก็ไม่ควรซื้อเพิ่ม เพราะราคาทองคำในตลาดยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่”

นายกสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ส่วนที่บอกว่าปีหน้าราคาทองคำในตลาดจะอยู่ในขาลงจริงๆ และน่าจะลงมากกว่านี้ แต่จะให้สรุปว่าลงเท่าไร ยืนอยู่ที่ราคาไหน คงไม่สามารถตอบได้และคาดเดาลำบาก แต่จากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการค้าทองคำมา หากราคาทองคำปรับลดราคาลงแรงๆ ก็จะปรับขึ้น จากนั้นก็จะปรับลงแรงๆ อีกครั้ง สลับกันไปมา ประกอบกับปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาน่าจะดีขึ้น ก็เป็นเรื่องปกติอีก ที่เมื่อเศรษฐกิจดีคนก็จะไม่ซื้อทองคำเก็บหรือเก็งกำไร แต่จะใช้เงินลงทุนทำธุรกิจ หรือไม่ก็ลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ ลงทุนในหุ้น ลงทุนในบอนด์

“โดยจะกลับมาลงทุนในตลาดทองคำอีกครั้ง ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจย่ำแย่”

ทองคำยังระส่ำถึงสิ้นปี
ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด หนึ่งในผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของไทย กล่าวว่า ในภาพใหญ่ทองคำยังเป็นช่วง “ขาลง” อยู่

ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จํากัดแม้ในช่วง 2-3 วันนี้ราคาทองคำในตลาดจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างแล้วก็ตาม โดยที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการรีบาวน์กลับของนักลงทุน หลังจากที่ราคาลงแรงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เมื่อนักลงทุนเห็นราคาถูกลงมาก ก็กลับเข้ามาซื้อเก็บใหม่

ส่วนตัวมองว่า จากนี้ไปหรือจนถึงสิ้นปี 2556 ราคาทองคำในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะยังผันผวนต่อเนื่อง และคาดเดาตลาดลำบากว่าราคาจะไปในทิศทางใด

“โอกาสที่ราคาทองคำจะกลับขึ้นไปสูงเหมือนช่วงก่อนปิดสงกรานต์ คือ วันที่ 12 เม.ย.ที่ทองคำแท่งซื้อบาทละ 21,400 บาท ขายบาทละ 21,500 บาท ทองรูปพรรณซื้อบาทละ 21,088 บาท ขายบาทละ 21,900 บาท หรือเหมือนช่วงต้นปี 2556 ที่ราคาทองคำแท่งแตะที่บาทละ 23,000-24,000 บาทยังมี แต่คงไม่กลับไปเท่าเดิม คือ ไม่ใช่ลง 10% ต้องขึ้น 10% คงไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของนักลงทุน คงไม่ขึ้นไปรวดเดียวเหมือนกับตอนขาลง แต่แนวโน้มช่วงปลายปีราคาทองในตลาดน่าจะปรับลงอีก เพราะราคาทองปรับขึ้นมาปีละ 17% ต่อเนื่องติดต่อกัน 12 ปีแล้ว”

นายธนรัชต์ กล่าวว่า อยากเตือนนักลงทุนให้ระวัง “ปัจจัยสวนของค่าเงิน” ด้วย เพราะสถานการณ์เวลานี้ไม่ปกติ วันที่ 19 เม.ย.ค่าเงินบาทก็ยืนอยู่ที่ 28.66 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งที่สุดในรอบ 16 ปี และทองคำก็ไม่ได้เป็นสินทรัพย์ตัวเดียวที่มีปัจจัยต่อค่าเงินบาท มีทั้งหุ้น บอนด์ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม ทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่อยู่คู่กับคนไทยและคนทั่วโลกไปตลอด เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ใช่รอบของทองคำ

“มองว่าหากราคาทองคำในตลาดต่างประเทศยืนอยู่เหนือระดับ 1,400-1,425 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และยืนอยู่ได้นาน ก็ถือว่าอยู่ในสภาวะที่ดี ช่วงนี้มีคำถามที่ลูกค้าถามผมมากสุด คือ ราคาทองคำจะลงอีกไหม และที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้จะทำอย่างไร ซึ่งผมจะแนะนำว่า หากซื้อในราคาที่สูงกว่านี้ ก็อยากให้ถือไว้ก่อน แต่หากต้องการขาย ก็อยากให้ขายแค่เฉพาะในส่วนที่จะใช้จ่าย”

สำหรับราคาทองคำในตลาดประเทศไทย หากจับตาดูดีๆ ราคาปรับลดลงมาเรื่อยๆ และต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย.2555

นายธนรัชต์ กล่าวว่าส่วนช่วงที่ราคาทองคำร่วงลงหนักๆ ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา เกิดจากนักลงทุนตื่นตระหนกมากกว่า หลังจากที่มีข่าวออกมาว่า กองทุนใหญ่ ธนาคารกลางไซปรัส จะกระหน่ำเทขายทองคำน้ำหนัก 10 ตันออกมา เพื่อล้างหนี้ โดยเกรงว่าหากธนาคารกลางไซปรัสเทขายทองคำออกมา ธนาคารกลางอื่นๆ อาทิ สเปน ที่ถือทองคำอยู่ 281.6 ตัน อิตาลีที่ถือทองคำอยู่ 2,451.8 ตัน และโปรตุเกสที่ถือทองคำอยู่ 382.5 ตัน จะเทขายด้วย

“แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีธนาคารกลางไหนเทขายทองคำออกมาเลย”

กลยุทธ์เดียว “ทำกำไรขาลง”
“กฤชรัตน์ หิรัญยศิริ” ประธานกลุ่มเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ได้ประเมินว่ากฤชรัตน์ หิรัญยศิริ ประธานกลุ่มเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุกหลังจากที่ราคาทองปรับตัวลงแรงรอบนี้ ทำให้แนวโน้มทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เป็นขาลงชัดเจน แม้จะรีบาวน์ดีดขึ้นเหนือ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้ แต่น่าจะแค่ระยะสั้น ไม่น่าขึ้นเกิน 1,450 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จากนั้นจะปรับลงมาใหม่ มีแนวรับสำคัญที่ 1,300-1,315 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือคิดเป็นทองไทยราว 18,300 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ

“ขณะนี้ยังมีความกังวลว่าราคาทองมีโอกาสร่วงหลุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ไปด้วยซ้ำ แต่จะเกิดช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งผมมองว่า กรณีเลวร้ายสุดอาจได้เห็นภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งอาจลงไปอีก 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เป็นอย่างน้อย หรือลงไปถึง 1,175 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์”
พร้อมกันยังได้ชี้ถึงปัจจัยด้านพื้นฐานที่ทำให้ราคาทองร่วงลงอีกว่า เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มแข็งค่าขึ้นมาหลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯหลายตัวส่งสัญญาณฟื้นตัว ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและนำเงินกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินสหรัฐฯมากขึ้น รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้เศรษฐกิจที่ดีขึ้นยังทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะหยุดมาตรการ QE หรือการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้ามาในระบบเร็วขึ้น

“สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นก่อนหน้านี้ เพราะเกิดวิกฤติซับไพรม์ จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้เงินไหลไปลงทุนทองคำเพราะถือเป็นหลุมหลบภัยที่ปลอดภัยที่สุด แต่ขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มดีขึ้น เงินจึงไหลไปลงทุนสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นและเมื่อความต้องการทองคำลดลง ราคาก็ย่อมตกลง”

เมื่อราคาทองเป็น “ขาลง” อย่างนี้ นายกฤชรัตน์ บอกว่านักลงทุนทองที่เล่นเก็งกำไร และขาดทุนบักโกรก กอดทองไว้ในราคายอดดอย กลยุทธ์เดียวที่ใช้ได้ตอนนี้คือ “ทำกำไรขาลง” โดย “ขายก่อน-ซื้อทีหลัง” ด้วยการขายทองที่ถือออกมาก่อนในจังหวะที่ราคาดีดขึ้น และรอกลับไปซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งก็จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาในช่วงทองขาลง

“ดีกว่ากอดทองไว้เฉยๆแล้วท่องคาถา “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ปลอบใจตัวเอง ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ แถมเสียโอกาสตีตื้นเอาทุนคืน!!”

โดยกลยุทธ์นี้ใช้ได้ทั้งกับนักลงทุนทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส!!

ส่วนประชาชนทั่วไป ที่ซื้อทองรูปพรรณหรือทองแท่งเพื่อประโยชน์ใช้สอย เป็นของขวัญ ซื้อสะสมเป็นสมบัติ หรือสินทรัพย์ที่สร้างความมั่นคงให้ตัวเองหรือลูกหลานกลุ่มนี้ ไม่ต้องกังวล มีเงินก็ทยอยซื้อได้ทุกเมื่อ หรือจะรอราคาทองลงอย่างช่วงนี้ค่อยๆซื้อก็ได้ เพราะเราได้ภูมิใจลูบคลำหรือใส่เป็นเครื่องประดับไม่ได้หวังเก็งกำไร ซื้อช่วงไหนก็คุ้ม และระยะยาวราคาทองคำก็น่าจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาได้ ใน 2-3 ปีข้างหน้า

ส่วนราคาทองคำจะกลับขึ้นไปสูงสุดที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือบาทละ 27,000 บาทอีกครั้ง ได้หรือไม่ ประธานกลุ่มแม่ทองสุก บอกว่าได้ หากเศรษฐกิจโลกมีปัญหารุนแรงหรือเศรษฐกิจสหรัฐฯตกต่ำจนเกิดปัญหาวิกฤติรุนแรงอีกรอบ ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ช้าหรือเร็ว หรือระยะสั้น หากมีการหยุดความตื่นกลัวและสร้างความมั่นใจว่า ธนาคารกลางชาติยุโรปใหญ่ๆที่มีวิกฤติหนี้อย่างอิตาลี จะไม่เอาลัทธิ “เอาอย่าง” ขายทองคำออกมาใช้หนี้ เหมือนที่ไซปรัสกำลังจะทำราคาทองก็อาจดีดกลับขึ้นมาแรงๆได้!!

ราคาทองยังลงได้อีก
“บุญเลิศ สิริภัทรวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทออสสิริส ผู้ค้าทองบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทออสสิริสรายใหญ่อีกรายของประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดทองคำกำลังสู้กันระหว่างเฮดจ์ฟันด์ที่ซื้อทองกระดาษกับนักลงทุนที่ซื้อทองที่เป็นทองคำจริงๆ

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองรีบาวน์ขึ้นกลับมายืนเหนือ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันยังต้องติดตามว่าจะมีธนาคารกลางของชาติต่างๆในเอเชียว่าจะใช้โอกาสนี้เข้าซื้อทองคำหรือไม่ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาทองไม่ให้ลงไปต่ำกว่านี้ได้

ดังนั้น เมื่อราคาทองลงมาอย่างไม่คาดคิด ยิ่งกระตุ้นให้นักลงทุนและประชาชนที่รอและอยากซื้อทองคำอยู่แล้วจึงได้พากันเฮโลไปซื้อทอง

“ที่ผ่านมา ไม่เคยมีนักวิชาการหรือนักวิเคราะห์ในประเทศไทยบอกว่าราคาทองจะต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท และที่น่าประหลาดใจคือขณะที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกประเมินว่าตลาดทองคำกำลังเป็นขาลง และออกมาป่าวประกาศว่าทองคำเริ่มไม่เป็น Safe-Heaven หรือไม่ใช่หลุมหลบภัยที่ปลอดภัยแล้ว แต่ผู้ซื้อรายย่อยกลับไม่กลัว วิ่งเข้าซื้อทองคำสวนทาง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับคนทั่วโลก”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทออสสิริส จึงยังคงมั่นใจว่าคนที่ซื้อทองเพื่อการออม เพื่อสะสมความมั่งคั่ง ยังคงมองทองเป็น Safe-Heaven เป็นทรัพย์สินที่สะสมเพื่อความมั่นคงของชีวิต เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานได้ ที่สำคัญมีสภาพคล่องและพร้อมนำไปแปลงเป็นเงินสดได้ทุกเมื่อ เมื่อยามจำเป็น ทองจึงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เพราะเขาไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไร!!

แล้วราคาทองจะลงไปได้อีกเท่าไร นายบุญเลิศบอกว่ารอบนี้ที่ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ น่าจะรับไหวเทียบเท่ากับ 18,300 บาทต่อ 1 บาททองคำ เพราะราคาลงมาแตะระดับนี้หลายรอบแต่เด้งกลับขึ้นมาได้

แต่กรณีเลวร้ายที่สุด นักวิเคราะห์เทคนิคมองลึกลงไปที่ 1,275-1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือที่ระดับ 16,500 บาทกว่าๆ จึงเห็นว่าน่าจะเป็นราคาที่สะท้อนพื้นฐานสุดๆ เพราะต้นทุนการผลิตเหมืองทองคำอยู่ช่วง 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,000-17,500 บาท จึงเชื่อว่า ราคาทองคำระยะสั้นถึงระยะกลางน่าจะแกว่งตัวมาที่บาทละ 17,500-21,000 บาท

ดังนั้นประชาชน ที่ต้องการซื้อทองเพื่อออมหากซื้อได้ที่บาทละ 18,000–19,000 บาท หรือต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาทได้ก็น่าจะเป็นราคาที่ดีแล้ว

ส่วนนักเก็งกำไร นายบุญเลิศแนะว่าให้ทำกำไรขาลง-โดยการขายก่อนซื้อ สำหรับผู้ที่ถือทองในราคาสูง แต่ต้องติดตามข่าวสารที่มีผลต่อราคาทองคำใกล้ชิด เพราะราคาทองยังมีโอกาสลงได้อีก ต้องวางกลยุทธ์การลงทุนให้ดี

ที่สำคัญต้องมีวินัย ถ้าผิดทางต้องยอมคัทลอสต์หรือตัดขาดทุนทันที อย่าฝืนตลาด เพราะลงทุนช่วงนี้ต้องระวังให้มาก!!!

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

ข่าววิเคราะห์แนวโน้มราคาทอง 7 วันล่าสุด

แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหนุนทองคําพุ่งต่อ ทองไทยพุ่งแตะ44,000

แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหนุนทองคําโลกพุ่งแรง ทองไทยขึ้นพรวด

วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนหนุนแรงซื้อทองคำ ทองไทยบาทแข็งกดดัน

วิกฤตสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนหนุนแรงซื้อทองคําโลกพุ่งแรง

จันทร์เช้าทองคําตลาดโลกดีดตัวขึ้นแรง ส่งผลทองไทยพุ่งแรงตาม

ดอลลาร์แข็งค่ารับคาดการณ์เฟดอาจชะลอลดดอกเบี้ยกดดันทองคําโลก

ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง ขานรับทรัมป์ชนะเลือกตั้งกดดันทองคํา


ราคาทองวันนี้ล่าสุด(22/11/2567)

ราคาทองตามประกาศสมาคมค้าทองคำ

96.5%รับซื้อขายออก
ทองคำแท่ง44,100.0044,200.00
ทองรูปพรรณ43,312.1244,700.00
วันนี้ 50050
22 พฤศจิกายน 2567เวลา 14:11 น.(ครั้งที่ 11)

ข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องที่เกี่ยวข้อง: ข่าวราคาทองคำ, ข่าวเศรษฐกิจ



2 Comments
  1. Pacharin พูดว่า:

    ในช่วงสัปดาห์นี้ราคาทองคำน่าจะปรับขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จนถึงสุดสัปดาห์ใช่หรือไม่

    • ราคาทองคำวันนี้ พูดว่า:

      นักวิเคระาห์ทั้งหลายทั้งในไทย และต่างประเทศ วิเคราะห์แบบนี้ครับ รวมทั้งปัจจัยปัจจุบัน ที่หนุนราคาทองเยอะจริงๆ ไม่ว่าในประเทศที่เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องมากสุดในรอบ 3 ปีจากเศรษฐกิจที่ถดถอย ส่งออกหดตัว ปรับลด GPD ส่วนต่างประเทศ ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ QE จะไม่ลดภายในกันยานี้ รวมทั้งวิกฤตการเมืองในอียิปต์ ซีเรีย ช่วยหนุนราคาทองเป็นอย่างมากครับ เพราะฉนั้น สัปดาห์นี้ทองสดใสครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น